
เผยประชาชน 4 ล้านคน ในพื้นที่ 16 ล้านไร่ในที่ดินรัฐรอ 22 หน่วยงานเร่งลงมือภาคปฏิบัติหลังบิ๊กป้อมนำทัพจับเซ็น MOUชี้ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน แหล่งน้ำกินน้ำใช้คือความจำเป็นที่ขาดแคลนการพัฒนาส่งเสริมอาชีพและช่องทางการตลาดยังต้องสนับสนุน
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เป็นหน่วยงานเจ้าภาพในการจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ภายใต้โครงการบูรณาการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในพื้นที่ คทช.เมื่อวันศุกร์ที่ 2 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมรามา การ์เด้นส์มี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพล.อ. อนุพงษ์เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นสักขีพยานนั้น
แหล่งข่าวสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งข้อสังเกตุว่าในงานดังกล่าวนอกจาก พล.อ.ประวิตร รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการทำ MOU ของ 22 หน่วยงานแล้วการที่ พล.อ.อนุพงษ์ รมว.มหาดไทย และ นายอนุชา รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรวมถึงผู้ใหญ่อีกหลายหน่วยงานมาร่วมเป็นสักขีพยานแสดงว่ารัฐบาลให้ความสำคัญมากต่อการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐเพื่อให้เกิดผลงานในการช่วยเหลือประชาชนเวลาอันรวดเร็วโดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่กล่าวเน้นหลายครั้งบนเวทีว่าขอให้หน่วยงานต่างๆทำงานให้เร็วทำต่อให้เป็นรูปธรรม
“ขณะนี้มีประชาชนประมาณ 3-4 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในที่ดินรัฐในพื้นที่รวมประมาณ 16 ล้านไร่ โดยยังไม่ได้รับเอกสารสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายดังนั้นหลังจากการลงนามซึ่งเป็นเพียงพิธีกรรมแล้วหน่วยงานต่างๆต้องเร่งดำเนินการอย่างรวดเร็วเช่นอนุญาตให้ประชาชนใช้พื้นที่ในการทำประโยชน์พัฒนาระบบสาธารณูปโภคเร็วส่งเสริมอาชีพเร็วเพื่อให้ประชาชนในที่ดินรัฐซึ่งรวมถึงเด็กและคนชรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”
ทั้งนี้ พลเอกประวิตร ได้กล่าวในงานนี้ว่า ในการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนในลักษณะแปลงรวม โดยมิให้กรรมสิทธิ์ แต่อนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เป็นกลุ่มหรือชุมชน เป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลที่ต้องการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาการขาดที่ดินทำกิน โดยให้ประชาชนผู้ยากไร้ได้มีสิทธิทำกินและอยู่อาศัยในที่ดินของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายป้องกันการเปลี่ยนมือและการเข้ามาครอบครองของนายทุน เกษตรกรมีที่ดินทำกินอย่างยั่งยืนและตกทอดไปถึงลูกหลานได้
อย่างไรก็ตามนอกจากได้ที่ดินทำกินแล้วประชาชนยังต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเป็นการเร่งด่วน ในการจัดทำและพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไฟฟ้า ประปา เส้นทางคมนาคม และแหล่งน้ำในการอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เพื่อให้สามารถลงหลักปักฐานต่อไปในระยะยาวได้ รวมทั้งให้มีการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพที่เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ และต่อยอดไปสู่การจัดหาตลาด รวมถึงช่องทางการกระจายผลผลิตทางการเกษตร หน่วยงานต่างๆของรัฐจึงจำเป็นต้องร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการ
ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการ สคทช.กล่าวว่าสคทช.ได้เร่งการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน เพื่อปรับปรุงระบบที่ดินทำกินและลดความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดิน และเร่งแก้ไขปัญหากรณีราษฎรหรือชุมชนได้รับความเดือดร้อนจากการอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินของรัฐโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายปัจจุบันได้มีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 1,483 พื้นที่ใน 70 จังหวัด ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 5,792,144 ไร่
อย่างไรก็ดีจากการตรวจติดตามในพื้นที่ คทช พบว่า ประชาชนมีความต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำเป็น โดยเฉพาะแหล่งน้ำขนาดเล็ก ระบบประปา ไฟฟ้า และถนนเพื่อสามารถส่งผลผลิตออกมาขายได้ในเรื่องนี้จึงต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหลายหน่วยงานสคทช. จึงเห็นควรยกระดับความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายร่วมกันในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
ทั้งนี้ มีหน่วยงานที่ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ จำนวนทั้งสิ้น 22 หน่วยงาน 2 กลุ่ม คือ หน่วยงานเจ้าของพื้นที่ และหน่วยงานที่สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)กรมพัฒนาที่ดิน เป็นต้น
