
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC-International Committee of the Red Cross) ได้ร่วมจัดหลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับนักศึกษาบัณฑิตศึกษาทั้งไทยและนานาชาติ ของคณะสาธารณสุขศาสตร์ เรื่อง “การดูแลสุขภาพในสถานที่คุมขัง” หรือ Health In Detention
.
โดยหลักสูตรดังกล่าว ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งทำให้ธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยแรกในเอเชียแปซิฟิกที่เปิดสอนเรื่องนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ได้มีความรู้เบื้องต้นในการส่งเสริม ป้องกัน และดูแลสุขภาพผู้ต้องถูกคุมขังเบื้องต้น อีกทั้งมีความเข้าในระบบสุขภาพ ระบบยุติธรรม จรรยาบรรณทางการแพทย์ รวมถึงปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพผู้ต้องขัง รวมถึง แลกเปลี่ยนความรู้กับเจ้าหน้าที่ที่อยู่หน้างานจริง แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
.
ด้าน ผศ.ดร.วรรณภา นาราเวช อาจารย์ประจำคณะสาธารณสุขศาสตร์ กล่าวว่า คอร์สสร้างตระหนักรู้สุขภาพในเรือนจำ กับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยบรรจุวิชานี้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรปริญญาโทของสาขาสุขภาพโลก ในรายวิชา GH 662 Health in Detention ซึ่งในปีนี้จัดในรูปแบบของ Hybrid Class (Onsite & Online) มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจระบบเรือนจำและปัญหาของประชากรในเรือนจำ โดยจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับบทบาทของหลักสิทธิมนุษยชนและจรรยาบรรณวิชาชีพในการจัดหาสุขภาพให้กับผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กในเรือนจำและเรือนจำในระดับสากลในสถานการณ์โควิด-19 โดยทางหลักสูตรได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลายด้าน อาทิ ผู้แทนคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC),กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม,สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (Thailand Institute of Justice),กระทรวงสาธารณสุข และ อาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Global Health คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
.
สำหรับปีนี้ การอบรมจัดขึ้น 5 วัน ระหว่างวันที่ 1-5 สิงหาคม 2565 เวลา 13.00-17.00 เป็นลักษณะ Hybrid learning หรือ การเรียนรู้แบบผสมผสานการเรียนรู้ในห้องเรียน โดยมีการรักษาระยะห่าง ควบคู่ไปกับการเรียนออนไลน์ สำหรับนักศึกษานานาชาติที่อยู่ต่างประเทศ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เรียนรู้พร้อมกับการทำเวิร์กช็อป ระดมความคิด ส่งเสริมให้เกิดการเปิดกว้างทางด้านความคิด หวังผลและก่อให้เกิดความเท่าเทียม ความยุติธรรมในสังคม และการมีส่วนร่วมทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายเป็นอย่างมากในโลกปัจจุบัน เพราะการสร้างสุขอนามัยและสุขภาวะ ควรเป็นบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพ ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันควบคุมโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข และเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพ และเป็นไปตามนโยบายด้านสิทธิมนุษยชน
