
DPUนำเทคโนโลยีVRเสริมแกร่งการเรียนรู้ยุคโควิด
สร้าง “เด็กการท่องเที่ยว” ที่อยู่เป็นทุกการเปลี่ยนแปลง
“อาจารย์ คือมันก็สวยนะคะ แต่ทำไมมองไปทางไหนก็มีแต่ดินกับทราย โล๊งโล่ง! ไม่มีอะไรเลย”
“ก็ตอนนี้เราอยู่กลางทะเลทรายนี่คะ แหม...พูดเหมือนครูไม่เคยเอาวิดีโอให้ดูว่าทะเลทรายเป็นยังไง”
“มันไม่เหมือนกันสิอาจารย์ คือ ดูวิดีโอกับมายืนอยู่กลางที่จริงอ่ะค่ะ ฟีลมันต่างนะอาจารย์”
บทสนทนานี้เกิดขึ้นเมื่อ นางสาวภควดี วรรณพฤกษ์(ปีย์) อาจารย์ประจำคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU)ส่งนักศึกษาไปเดินสำรวจเขตทะเลทรายทางตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย แน่นอนว่าค่าเทอมของคณะไม่ได้แพงขนาดจะตีตั๋วพานักศึกษาไปออกทริปที่ออสเตรเลียได้ ก็เลยต้องหาวิธีพิเศษ...แบบล้ำๆ ที่จะพานักศึกษาไปสัมผัสทะเลทรายสีสนิมชื่อดังของแดนจิงโจ้ โดยที่ตัวยังอยู่เมืองไทย แบบไม่ต้องเสียเงิน แถมไม่เสี่ยงติดโควิดอีกด้วย
ต้องลงทุนกันขนาดนี้เพราะโบราณท่านกล่าวไว้ว่า สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น
อาจารย์ปีย์ เล่าว่าความท้าทายอย่างหนึ่งของผู้สอนวิชาด้านการท่องเที่ยว คือ การสร้างทักษะให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานในสถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน แม้ว่าการเดินทางไปเรียนรู้ถึงสถานที่จริงจะสามารถสร้างความเข้าใจได้มากที่สุด แต่ต่อให้ออกภาคสนามกันบ่อยแค่ไหน (บ่อยจนนักศึกษาซักเสื้อผ้าไม่ทัน) ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพาไปได้ทุกที่ จึงถือว่าโชคดีที่ปัจจุบันมีทั้งสื่อการท่องเที่ยวและเครื่องมือดิจิทัลหลากหลายให้เลือกใช้ประกอบการสอน ช่วยนักศึกษาเสริมความเข้าใจเพิ่มเติมจากการอ่านหนังสือและฟังบรรยายได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือเหล่านี้ก็มีขีดจำกัดในด้านการถ่ายทอดการสัมผัสรับรู้และความรู้สึกที่ได้จากการไปสัมผัสสถานที่จริง หรือที่นักศึกษาชอบเรียกกันว่า ฟีลลิ่ง ซึ่งจำเป็นต่อการทำความเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซึ้ง หากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในไทย นักศึกษาอาจเติมเต็มส่วนที่ขาดนี้ด้วยความคุ้นเคยกับสภาพบ้านเมืองและสังคมไทยรวมถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวในเมืองไทยได้ แต่พอเป็นแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศแล้ว นักศึกษามักไม่มีพื้นฐานมากพอที่จะช่วยให้การจินตนาการตามที่สอนได้ นักศึกษาอาจจะรู้ว่าทะเลทรายเป็นภูมิประเทศแบบใด แต่นึกไม่ออกว่าความกว้างและเวิ้งว้างของทะเลทรายนั้นมีลักษณะอย่างไร
จึงเป็นโจทย์ใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับการเรียนรู้จากสถานที่จริงมากที่สุดโดยไม่จำเป็นต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยือนสถานที่นั้นจริง ซึ่งในแวดวงการศึกษายุคดิจิทัลตอนนี้ ได้เริ่มนำเทคโนโลยีเสมือนจริง หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่าVirtual Reality (VR)เข้ามาตอบโจทย์ปัญหาดังกล่าว
หลายคนอาจจะเคยเห็นเทคโนโลยีนี้ในรูปแบบของอุปกรณ์คล้ายแว่นตาสำหรับใส่ครอบศีรษะ ซึ่งผู้สวมใส่จะมองเห็นแต่สิ่งที่ปรากฏบนแว่นไม่ว่าจะหันศีรษะมองไปทางไหน เป็นการตัดขาดผู้ใช้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยสิ้นเชิง และทำให้รู้สึกเสมือนเข้าไปอยู่ในความจริงอีกโลกหนึ่ง
การนำเทคโนโลยีVRมาใช้ในการท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ คำว่าVirtual Tourismหรือการท่องเที่ยวเสมือนจริงเริ่มได้รับการพูดถึงตั้งแต่ช่วงที่Google Mapเปิดตัวฟังก์ชั่นStreet Viewและชุดภาพถ่าย 360 องศาของสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่างพระราชวังแวร์ซาย ที่อวดความอลังการของพระราชวังตั้งแต่พื้นหินอ่อนจรดภาพจิตรกรรมบนเพดาน แม้ว่าในช่วงแรกจะมีความกังวลว่าเทคโนโลยีเหล่านี้อาจทำให้คนสนใจไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวน้อยลงเพราะได้เห็นทุกอย่างจากภาพถ่ายและวิดีโอแล้ว แต่การศึกษาวิจัยกลับพบว่าสื่อVRทำให้คนอยากเดินทางไปสัมผัสของจริงมากขึ้น
ปัจจุบันVirtual Tourismจึงกลายเป็นเครื่องมือการตลาดใหม่ของการท่องเที่ยวยุคดิจิตัลจำนวนสื่อVirtual Tourismยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์COVID-19 ถึงแม้จะออกจากบ้านไปไหน
ไม่ได้ เพียงแค่สวมใส่แว่นตาVRก็สามารถเที่ยวชมเมืองเวนิสในภาวะล็อคดาวน์ผ่านสารคดีVRชุดWhen WeStayed Homeหรือแม้แต่การพิชิตขั้วโลกใต้กับเกมจากNational Geographic
ด้วยศักยภาพของเทคโนโลยีVirtual Realityที่กล่าวมา คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ จึงได้จัดชุดอุปกรณ์VR (Oculus Quest)มาทดลองใช้เสริมการเรียนรู้ในวิชาภูมิศาสตร์โลกเพื่อการท่องเที่ยว ให้นักศึกษาใช้สำรวจเมืองและแหล่งท่องเที่ยวที่สนใจผ่านแอพลิเคชั่นWanderซึ่งเป็นแอพลิเคชั่นที่ดึงข้อมูลStreet Viewและภาพถ่าย 360 องศาของสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจากGoogle Map
นักศึกษาที่ได้ทดลองใช้งานต่างมีความเห็นว่า ได้รับประสบการณ์ใหม่ที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ และการเยือนสถานที่ท่องเที่ยวแบบเสมือนจริง ช่วยให้คลิ้กในสิ่งที่เรียนรู้จากห้องเรียน ด้วยการเปลี่ยนข้อมูลแห้งๆที่ต้องพยายามจำ ให้กลายเป็นความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นได้
แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงขาลงของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แต่การออกเดินทางท่องเที่ยวยังคงเป็นความต้องการที่ฝังลึกในตัวมนุษย์แทบทุกคน จึงเชื่อได้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะต้องฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน
คณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมจึงยึดมั่นในการผลิตบุคลากรทางการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการขยายผลการใช้เทคโนโลยีVRเพื่อสนับสนุนการสอนของวิชาที่ต้องระงับการออกภาคสนามอันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์COVID-19 โดยหวังว่าจะช่วยให้นักศึกษาได้รับความรู้และประสบการณ์ที่ใกล้เคียงการออกภาคสนามที่สุด
เพราะเด็กท่องเที่ยวยุคโควิดต้องมีความสามารถไม่แพ้รุ่นพี่ ตรงกับนโยบายของมหาวิทยาลัยที่ว่า อยู่เป็น...ทุกการเปลี่ยนแปลง
