
ตามรายงานด้านการควบรวมและการซื้อกิจการ (M&A) ฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน โดยบริษัทกฎหมายระดับโลกเอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์ (Eversheds Sutherland) ในหัวข้อปะติดปะต่อให้เข้าที่: ตัวขับเคลื่อนใหม่ ๆ ของการทำ M&A เชิงกลยุทธ์(Putting the pieces into place: The next drivers of strategic M&A)70% ของผู้นำธุรกิจทั่วโลกมองว่า "ระบอบสาม T" (triarchy) อันได้แก่ บุคลากร (talent), เทคโนโลยี (technology) และการค้า (trade) เป็นแกนหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจด้าน M&Aในอนาคต
- บุคลากร:72% ของผู้นำธุรกิจมองว่าการรักษาตลอดจนการสรรหาและว่าจ้างบุคลากรนั้น มีความสำคัญต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กรในปีหน้า นอกจากนี้ 3 ใน 5 (62%) ยังเชื่อว่าปรากฏการณ์ "การลาออกครั้งใหญ่" (GreatResignation) กำลังทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการทำ M&A ในขณะที่การต่อสู้เพื่อแย่งชิงบุคลากรยังคงดำเนินต่อไป
- เทคโนโลยียังคงเป็นตัวขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กร โดยเกือบ 80% ของผู้นำธุรกิจต้องการปรับปรุงการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และ 3 ใน 4 มองหาวิธีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล พวกเขามองว่าการทำ M&Aเป็นวิธีการที่รวดเร็วในการซึมซับเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญใหม่ ๆ โดย 74% บอกว่า M&Aมีความสำคัญในการอุดช่องโหว่ทางเทคโนโลยี
- การค้า:ผลกระทบจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการคว่ำบาตรทางการค้า ส่งผลให้ 68% ของผู้นำธุรกิจกล่าวว่า การเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานจะเป็นปัจจัยสำคัญเชิงกลยุทธ์ด้าน M&Aในปีหน้า นอกจากนี้ 72% ของผู้นำธุรกิจยังมองด้วยว่า การเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานมีความสำคัญต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจขององค์กรในปีหน้า
- ในเดือนเมษายน 2565 นั้น 60% ของผู้นำทางธุรกิจกล่าวว่า การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานอันเป็นผลมาจากกรณีรุกรานยูเครน จะทำให้การควบรวมกิจการในแนวดิ่งเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญมากขึ้น
การศึกษาของเอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์ทั่วโลกนั้นอิงจากการวิจัยความคิดเห็นที่ดำเนินการในช่วงต้นปี 2565 จากผู้นำธุรกิจ 1,200 คนและใน 16 ตลาดทั่วโลก โดยผู้ตอบแบบสอบถามจากหลากหลายภาคส่วนให้มุมมองที่ละเอียดกว้างขวางจากทั่วโลก ต่อมาในเดือนเมษายน 2565 งานวิจัยเพิ่มเติมจากผู้นำธุรกิจ 75 รายให้ข้อมูลเชิงลึกว่า เหตุรุกรานยูเครนอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อกิจกรรม M&Aอย่างไรบ้าง
อิริก ไน (Eric Knai)หุ้นส่วนและหัวหน้าฝ่ายM&Aระหว่างประเทศของเอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์ กล่าวว่า"เรามีความยินดีที่ได้เปิดตัวรายงานของเราออกสู่ตลาด เรื่องปะติดปะต่อให้เข้าที่: ตัวขับเคลื่อนใหม่ ๆ ของการทำM&Aเชิงกลยุทธ์หลังจากช่วงสองสามปีแห่งความผันผวนในภูมิทัศน์ทางธุรกิจเป็นวงกว้างและความขัดแย้งในยูเครน เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้กระตุ้นให้ผู้นำต้องไตร่ตรองถึงวิธีการวางตำแหน่งองค์กรของตนให้ดีที่สุดในอนาคต งานวิจัยของเราบ่งชี้ว่าผู้นำธุรกิจส่วนใหญ่มองว่าบุคลากร เทคโนโลยี และการค้าเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อภูมิทัศน์ด้านM&A"
โรเบิร์ต ค็อปส์ (Robert Copps)หุ้นส่วนและหัวหน้าฝ่ายM&Aของสหรัฐที่เอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์ กล่าวว่า"มีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภูมิทัศน์ด้านM&Aได้แก่ กรณีรุกรานยูเครน,อัตราเงินเฟ้อและราคาพลังงานที่สูงขึ้น,อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น,ความผันผวนในตลาดหุ้น และผลกระทบอย่างต่อเนื่องของโควิดที่ระบาดทั่วโลก แต่ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายเหล่านี้ก็ตาม ผลการศึกษาก็แสดงให้เห็นว่าองค์กรต่าง ๆ ยังคงมีช่องโหว่เชิงกลยุทธ์แบบเดียวกันที่ต้องแก้ไขโดยด่วนเพื่อการเติบโต และพวกเขาจะยังคงพยายามอุดช่องโหว่เหล่านั้นผ่านการทำM&A"
เกี่ยวกับเอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์
ในฐานะที่เป็นบริษัทรับว่าความ 10 อันดับแรกของโลก เอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์ (EvershedsSutherland) ให้บริการด้านกฎหมายแก่ฐานลูกค้าทั่วโลก ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางไปจนถึงบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ที่สุด โดยเป็นผู้กระทำการในนามของบริษัท 61 แห่งที่อยู่ในดัชนี FTSE 100 ของตลาดหลักทรัพย์อังกฤษ, บริษัท70 แห่งที่ติดอันดับ Fortune 100 ของนิตยสารฟอร์จูนและ 128 แห่งที่ติดอันดับ Fortune 200
ด้วยทนายความมากกว่า 3,000 คน เอเวอร์เชดส์ ซัตเทอร์แลนด์มีสำนักงานมากกว่า 70 แห่งในเขตอำนาจศาลมากกว่า 30 แห่งทั้งในแอฟริกา, เอเชีย, ยุโรป, ตะวันออกกลาง และสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายสำนักงานกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกมากกว่า 200 แห่ง รวมถึงพันธมิตรอย่างเป็นทางการในละตินอเมริกา, เอเชียแปซิฟิก และแอฟริกา คอยให้การสนับสนุนทั่วโลก
www.eversheds-sutherland.com
