
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานบี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริมเพาเวอร์ จำกัด(มหาชน)หรือBGRIMเปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่1ปี2564มีกำไรสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่611ล้านบาท เติบโต654.3%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมกำไร(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง กำไรสุทธิจากการดำเนินงานอยู่ที่646ล้านบาท เติบโต25.2%เทียบจากไตรมาสที่แล้ว แต่ลดลง5.3%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรม(SPP)มีการเติบโตดีมาก ทำให้ยังมีกำไรแข็งแกร่งแม้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามเริ่มบันทึกดอกเบี้ยจ่ายหลังสิ้นสุดระยะเวลาเครดิตตามสัญญาด้านวิศวกรรมจัดหาอุปกรณ์และก่อสร้าง(EPC)และมีการลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าชั่วคราวอันมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่อัตรากำไรEBITDAเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่31.5%จากการขยายธุรกิจจำหน่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องมีปริมาณการซื้อไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 6.5%จากไตรมาสก่อนหน้า และ5.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสร้างสถิติใหม่ที่814กิกะวัตต์-ชั่วโมง อันเกิดจากการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้ารายใหม่ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า10.3เมกะวัตต์ และการเติบโตจากทุกกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์,กลุ่มก๊าซอุตสาหกรรม และกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน โดยประเมินว่าปริมาณการซื้อไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมจะเติบโตประมาณ 10-15%ในปีนี้ นอกจากนี้ มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหลังการปรับปรุงเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซของโครงการโรงไฟฟ้าABPR 1และABPR 2ในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม2563รวมถึงผลจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง17.4%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เช่นเดียวกับธุรกิจพลังงานทดแทน ที่รับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศกัมพูชา ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในเดือนธันวาคม2563อย่างไรก็ดี รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามลดลงชั่วคราว โดยมีการลดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากปัญหาด้านสายส่งและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19ซึ่งมีการแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้ว และปริมาณการรับซื้อได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา
ด้านการเตรียมความพร้อม ภายใต้สมมติฐานสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19บี.กริม เพาเวอร์ มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดในมือกว่า2.1หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกระแสเงินสดที่มั่นคงจากโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการแล้ว 48โครงการ และการสนับสนุนจากหลายสถาบันการเงิน ซึ่งเพียงพอในการพัฒนาโครงการตามเป้าหมายทั้งหมด
ดร. ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า ในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังมีการขยายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยในเดือนเมษายน2564บี.กริม เพาเวอร์ ได้ทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานทดแทน,ระบบการบริหารจัดการพลังงานและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมกัน เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน(ESS),ระบบการซื้อขายพลังงานไฟฟ้า(EnergyTrading),ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (SmartGrid)และระบบจำหน่ายไฟฟ้า
ส่วนความคืบหน้าของโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีนี้มีอีกหลากหลายโครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมบ่อทอง วินด์ฟาร์ม 1&2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 16 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในจังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้าง94%โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ในครึ่งปีแรกของปี2564
ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งหมด48โครงการ โดยมีเป้าหมายที่จะมีกำลังการผลิตรวมของโครงการใหม่ ไม่น้อยกว่า1,000เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ทั้งจากโครงการที่ก่อสร้างใหม่และการเข้าซื้อกิจการ โดยคงเป้าหมายการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 7,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568
